การป้องกัน “รอยแผลเป็น”

รอยแผลเป็น คีลอย แผลเป็น

การป้องกัน “รอยแผลเป็น”

รอยแผลเป็นเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของกระบวนการสมานแผลของร่างกาย เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นล่างได้รับบาดเจ็บ แม้ว่ารอยแผลเป็นจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติ แต่ในบางกรณี รอยแผลเป็นอาจก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางด้านสุขภาพและจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อรอยแผลเป็นมีขนาดใหญ่ นูนเกิน หรืออยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัด

การป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพผิวและคุณภาพชีวิตโดยรวม บทความนี้จะนำเสนอหลักการของการเกิดรอยแผลเป็น กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง และวิธีการป้องกันที่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลตนเองหรือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการและต้นเหตุของการเกิดรอยแผลเป็น

การเกิดรอยแผลเป็นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน ดังนี้:

  1. การห้ามเลือด (Hemostasis): เกิดขึ้นทันทีหลังจากเกิดบาดแผล โดยร่างกายจะตอบสนองด้วยการหดตัวของหลอดเลือด และการกระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดจะรวมตัวกันเพื่อสร้างลิ่มเลือดชั่วคราว ซึ่งช่วยหยุดการไหลของเลือดและป้องกันการสูญเสียเลือดมากเกินไป นอกจากนี้ ลิ่มเลือดยังทำหน้าที่เป็นโครงสร้างชั่วคราวสำหรับเซลล์ต่างๆ ที่จะเข้ามาในขั้นตอนต่อไป [7]
  2. การอักเสบ (Inflammation): ขั้นตอนนี้เริ่มต้นเกือบจะทันทีหลังจากการบาดเจ็บและอาจคงอยู่ได้นานถึง 6 วัน เซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น นิวโทรฟิล และแมคโครฟาจ จะถูกดึงดูดมายังบริเวณบาดแผลผ่านสัญญาณทางเคมีที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ที่บาดเจ็บและแบคทีเรีย เซลล์เหล่านี้ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ นอกจากนี้ ยังปล่อยสารที่กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่และหลอดเลือดใหม่ [8]
  3. การสร้างเนื้อเยื่อใหม่ (Proliferation): ขั้นตอนนี้เริ่มต้นประมาณ 2-10 วันหลังจากการบาดเจ็บและอาจคงอยู่ได้นานถึงสองสัปดาห์ เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะถูกกระตุ้นให้เคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณบาดแผลและเริ่มสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ที่เรียกว่า “เนื้อเยื่อแกรนูเลชัน” เพื่อเติมเต็มบาดแผล ในขณะเดียวกัน เซลล์เคราติโนไซต์จะเคลื่อนที่จากขอบแผลเพื่อสร้างผิวหนังชั้นนอกใหม่ (re-epithelialization) นอกจากนี้ ยังมีการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenesis) เพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารมาเลี้ยงเซลล์ใหม่เหล่านี้ [9]
  4. การปรับโครงสร้าง (Remodeling): เป็นขั้นตอนสุดท้ายและยาวนานที่สุดของการสมานแผล เริ่มต้นประมาณ 21 วันหลังการบาดเจ็บและอาจคงอยู่ได้นานถึงหนึ่งปีหรือมากกว่า ในระยะนี้ คอลลาเจนชนิด III ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงแรกจะถูกแทนที่ด้วยคอลลาเจนชนิด I ซึ่งแข็งแรงกว่า เส้นใยคอลลาเจนจะถูกจัดเรียงใหม่ให้เป็นระเบียบมากขึ้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง อย่างไรก็ตาม แม้หลังจากการปรับโครงสร้าง เนื้อเยื่อที่ซ่อมแซมแล้วจะมีความแข็งแรงเพียง 70-80% ของผิวหนังปกติ [10]

ตามการศึกษาของ Gauglitz et al. (2011) [6] และ Zhu et al. (2020) [11], ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติ ได้แก่:

  • พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเกิดรอยแผลเป็นนูน (hypertrophic scar) หรือคีลอยด์ (keloid) มากกว่าคนอื่น
  • อายุ: ผู้สูงอายุมักมีการสร้างคอลลาเจนที่ช้าลง ซึ่งอาจส่งผลให้การสมานแผลช้าลงและเพิ่มโอกาสการเกิดแผลเป็น
  • ตำแหน่งของบาดแผล: บาดแผลในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อต่อ หรือบริเวณที่มีแรงตึงสูง มีแนวโน้มที่จะเกิดรอยแผลเป็นที่เด่นชัดมากกว่า
  • ความรุนแรงของการบาดเจ็บ: บาดแผลที่ลึกและกว้างมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัดกว่า
  • ระยะเวลาในการหายของแผล: แผลที่ใช้เวลานานในการหายมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติ
  • การติดเชื้อหรือการอักเสบที่มากเกินไป: การติดเชื้อหรือการอักเสบที่รุนแรงสามารถรบกวนกระบวนการสมานแผลปกติและนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติได้
  • แรงตึงบนผิวหนัง: บริเวณที่มีแรงตึงสูงบนผิวหนัง เช่น หน้าอก ไหล่ หรือหลังส่วนบน มีแนวโน้มที่จะเกิดรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์มากกว่า
  • เชื้อชาติ: พบว่าบางเชื้อชาติ เช่น คนผิวสีและคนเอเชีย มีแนวโน้มที่จะเกิดรอยแผลเป็นนูนและคีลอยด์มากกว่าคนผิวขาว

การเข้าใจกระบวนการเหล่านี้และปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาวิธีการป้องกันรอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพ

วิธีการป้องกันรอยแผลเป็น

1. การดูแลแผลอย่างเหมาะสม

การดูแลแผลที่ถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการป้องกันรอยแผลเป็น การศึกษาโดย Monstrey et al. (2014) [1] พบว่า การรักษาความชุ่มชื้นของแผลและการป้องกันการติดเชื้อมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่ผิดปกติ วิธีการดูแลแผลที่แนะนำ ได้แก่:

  • การทำความสะอาดแผล: ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างแผลเบาๆ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย
  • การรักษาความชุ่มชื้น: ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้น เช่น วาสลีนหรือครีมที่มีส่วนผสมของ petrolatum เพื่อป้องกันการแห้งของแผลและส่งเสริมการสมานแผลที่เร็วขึ้น
  • การปิดแผล: ใช้ผ้าปิดแผลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาความชุ่มชื้น
  • การหลีกเลี่ยงการรบกวนแผล: พยายามไม่แกะสะเก็ดแผลหรือขยี้แผล เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อและการเกิดรอยแผลเป็น

2. การใช้ซิลิโคนเจลและแผ่นปิดแผล

งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ซิลิโคนในการป้องกันและรักษารอยแผลเป็น Bleasdale et al. (2015) [2] พบว่า การใช้แผ่นซิลิโคนหรือเจลซิลิโคนสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นนูนและรอยแผลเป็นคีลอยด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ กลไกการทำงานของซิลิโคนในการป้องกันรอยแผลเป็นมีดังนี้:

  • การรักษาความชุ่มชื้น: ซิลิโคนช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่ผิวหนัง ทำให้สภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการสมานแผล
  • การลดการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป: ซิลิโคนอาจช่วยควบคุมการผลิตคอลลาเจน ป้องกันการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นที่มากเกินไป
  • การป้องกันการระคายเคือง: แผ่นซิลิโคนช่วยป้องกันแผลจากการถูกกระทบกระแทกหรือการเสียดสีจากภายนอก

แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ซิลิโคนหลังจากแผลปิดสนิทแล้ว โดยใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์

3. การนวดแผลเป็น

การนวดแผลเป็นเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับในการป้องกันและรักษารอยแผลเป็น Shin และ Bordeaux (2012) [3] รายงานว่า การนวดแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดการยึดติดของเนื้อเยื่อและปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นได้ ประโยชน์ของการนวดแผลเป็นมีดังนี้:

  • เพิ่มความยืดหยุ่น: การนวดช่วยให้เนื้อเยื่อแผลเป็นมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความตึงและการยึดติด
  • กระตุ้นการไหลเวียนเลือด: การนวดช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในบริเวณแผลเป็น ส่งเสริมการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ
  • ช่วยในการดูดซึมผลิตภัณฑ์บำรุง: การนวดสามารถช่วยให้ครีมหรือเจลที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นถูกดูดซึมได้ดีขึ้น

แนะนำให้เริ่มนวดแผลเป็นหลังจากแผลปิดสนิทแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ โดยนวดเบาๆ วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที

4. การใช้ครีมกันแดด

การป้องกันแผลจากรังสี UV เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นที่มีสีเข้มขึ้น (hyperpigmentation) Foo และ Sarma (2016) [4] แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 บนบริเวณแผลเป็นเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เหตุผลที่ต้องป้องกันแผลเป็นจากแสงแดดมีดังนี้:

  • ป้องกันการเกิดรงควัตถุ: รังสี UV สามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ทำให้แผลเป็นมีสีเข้มขึ้น
  • ลดการอักเสบ: แสงแดดสามารถทำให้เกิดการอักเสบในบริเวณแผลเป็น ซึ่งอาจทำให้แผลเป็นมีลักษณะแย่ลง
  • ป้องกันการทำลายคอลลาเจน: รังสี UV สามารถทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้แผลเป็นมีลักษณะไม่สม่ำเสมอ

แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่มีเมฆมาก และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้ง

5. การรักษาด้วยเลเซอร์

สำหรับแผลที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติ การรักษาด้วยเลเซอร์แต่เนิ่นๆ อาจช่วยป้องกันได้ Ke et al. (2020) [5] พบว่า การใช้เลเซอร์ชนิด pulsed dye laser (PDL) ในระยะแรกของการหายของแผลสามารถลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นนูนได้ ประโยชน์ของการรักษาด้วยเลเซอร์มีดังนี้:

  • ลดการอักเสบ: เลเซอร์บางชนิดสามารถลดการอักเสบในระยะแรกของการสมานแผล
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: เลเซอร์สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้แผลเป็นมีลักษณะดีขึ้น
  • ปรับสีผิว: เลเซอร์บางชนิดสามารถช่วยลดความแดงหรือสีเข้มของแผลเป็นได้

อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยเลเซอร์ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และอาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

6. การใช้ยาทาสเตียรอยด์

ในกรณีที่มีแนวโน้มจะเกิดรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป Robles และ Berg (2007) [12] พบว่า การใช้ยาทาสเตียรอยด์ความแรงปานกลางถึงสูงสามารถช่วยป้องกันและรักษารอยแผลเป็นนูนได้ โดยมีกลไกการทำงานดังนี้:

  • ลดการอักเสบ: สเตียรอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการบวมและแดงของแผล
  • ยับยั้งการสร้างคอลลาเจน: สเตียรอยด์สามารถลดการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่ผลิตคอลลาเจน
  • ลดการสร้างหลอดเลือดใหม่: สเตียรอยด์สามารถยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ในบริเวณแผล ซึ่งอาจช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นนูน

การใช้ยาทาสเตียรอยด์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากการใช้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง หรือเกิดสีผิวที่ผิดปกติได้

สรุป

การป้องกันรอยแผลเป็นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้วิธีการหลายอย่างร่วมกัน โดยเริ่มจากความเข้าใจในกลไกการเกิดแผลเป็น ไปจนถึงการใช้วิธีการป้องกันที่เหมาะสม สรุปแนวทางสำคัญในการป้องกันรอยแผลเป็นได้ดังนี้:

  1. ดูแลแผลอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก โดยรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นของแผล
  2. ใช้ผลิตภัณฑ์ซิลิโคนเมื่อแผลเริ่มปิดสนิท เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติ
  3. นวดแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดการยึดติดของเนื้อเยื่อ
  4. ป้องกันแผลเป็นจากแสงแดดด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง
  5. พิจารณาการรักษาด้วยเลเซอร์หรือยาทาสเตียรอยด์ภายใต้การดูแลของแพทย์ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง

ทั้งนี้ การเลือกวิธีการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของแผล ตำแหน่ง และปัจจัยส่วนบุคคล ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนป้องกันรอยแผลเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การติดตามผลและปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาตามความเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน

การวิจัยในอนาคตอาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการป้องกันและรักษารอยแผลเป็น เช่น การใช้เซลล์ต้นกำเนิด หรือการพัฒนาวัสดุปิดแผลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การป้องกันและรักษารอยแผลเป็นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต

 

แนวโน้มในอนาคตของการป้องกันรอยแผลเป็น

ในขณะที่วิธีการป้องกันรอยแผลเป็นที่กล่าวมาข้างต้นได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพ การวิจัยและพัฒนาในด้านนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่วิธีการใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ดังนี้:

  1. การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด: Pikula et al. (2019) [13] ได้ศึกษาการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขมัน (adipose-derived stem cells) ในการรักษาแผลเป็น พบว่ามีแนวโน้มที่จะช่วยปรับปรุงลักษณะของแผลเป็นและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนังได้ การวิจัยในอนาคตอาจนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับการป้องกันและรักษารอยแผลเป็น
  2. นาโนเทคโนโลยี: Shirazian et al. (2020) [14] ได้ทบทวนการใช้นาโนเทคโนโลยีในการรักษาแผลเป็น พบว่านาโนพาร์ติเคิลสามารถช่วยในการนำส่งยาและสารสำคัญเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันและรักษารอยแผลเป็น
  3. วัสดุปิดแผลอัจฉริยะ: Mostafalu et al. (2018) [15] ได้พัฒนาวัสดุปิดแผลอัจฉริยะที่สามารถตรวจวัดสภาพแวดล้อมของแผลและปล่อยยาหรือสารสำคัญตามความจำเป็น ซึ่งอาจช่วยในการป้องกันการเกิดแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. การรักษาด้วยยีนบำบัด: Yeh et al. (2017) [16] ได้ศึกษาการใช้ยีนบำบัดในการควบคุมการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผลเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาวิธีการรักษาที่มีความจำเพาะเจาะจงสูงในการป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น
  5. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning): Borsting et al. (2020) [17] ได้ใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ลักษณะของแผลเป็นและทำนายผลการรักษา ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาแผนการรักษาที่มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

บทสรุป

การป้องกันรอยแผลเป็นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความเข้าใจในกลไกการเกิดแผลเป็น ร่วมกับการใช้วิธีการป้องกันที่หลากหลายและเหมาะสมกับแต่ละกรณี จากการทบทวนวรรณกรรมและหลักฐานทางวิชาการ สามารถสรุปแนวทางสำคัญในการป้องกันรอยแผลเป็นได้ดังนี้:

  1. การดูแลแผลอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก โดยเน้นการรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นของแผล
  2. การใช้ผลิตภัณฑ์ซิลิโคนเมื่อแผลเริ่มปิดสนิท เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นที่ผิดปกติ
  3. การนวดแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดการยึดติดของเนื้อเยื่อ
  4. การป้องกันแผลเป็นจากแสงแดดด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง
  5. การพิจารณาการรักษาด้วยเลเซอร์หรือยาทาสเตียรอยด์ภายใต้การดูแลของแพทย์ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะของแผล ตำแหน่ง และปัจจัยส่วนบุคคล ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนป้องกันรอยแผลเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การติดตามผลและปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาตามความเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน

ในอนาคต การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้เซลล์ต้นกำเนิด นาโนเทคโนโลยี วัสดุปิดแผลอัจฉริยะ ยีนบำบัด และปัญญาประดิษฐ์ อาจนำไปสู่วิธีการป้องกันและรักษารอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ป่วยแต่ละรายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในทางคลินิกจำเป็นต้องผ่านการศึกษาวิจัยอย่างรอบคอบเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยก่อน

ท้ายที่สุด การป้องกันรอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของผิวหนังเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของผู้ป่วยอีกด้วย ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันรอยแผลเป็นตั้งแต่ระยะแรกจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพผิวอย่างครอบคลุม

เอกสารอ้างอิง

  1. Monstrey, S., Middelkoop, E., Vranckx, J. J., Bassetto, F., Ziegler, U. E., Meaume, S., & Téot, L. (2014). Updated scar management practical guidelines: non-invasive and invasive measures. Journal of Plastic, Reconstructive & Aesthetic Surgery, 67(8), 1017-1025.
  2. Bleasdale, B., Finnegan, S., Murray, K., Kelly, S., & Percival, S. L. (2015). The use of silicone adhesives for scar reduction. Advances in wound care, 4(7), 422-430.
  3. Shin, T. M., & Bordeaux, J. S. (2012). The role of massage in scar management: a literature review. Dermatologic Surgery, 38(3), 414-423.
  4. Foo, C. W., & Sarma, U. (2016). Topical modalities in prevention and treatment of hypertrophic scars and keloids. In Scars and Scarring: Causes, Types and Treatment Options. Nova Science Publishers, Inc.
  5. Ke, W., Rotemberg, V., & Verhoff, B. (2020). Utility of Early Pulsed Dye Laser Treatment for Burn Scars in Avoiding Hypertrophic Scarring: A Systematic Review. Journal of Burn Care & Research, 41(4), 780-787.
  6. Gauglitz, G. G., Korting, H. C., Pavicic, T., Ruzicka, T., & Jeschke, M. G. (2011). Hypertrophic scarring and keloids: pathomechanisms and current and emerging treatment strategies. Molecular medicine, 17(1), 113-125.
  7. Gurtner, G. C., Werner, S., Barrandon, Y., & Longaker, M. T. (2008). Wound repair and regeneration. Nature, 453(7193), 314-321.
  8. Eming, S. A., Martin, P., & Tomic-Canic, M. (2014). Wound repair and regeneration: mechanisms, signaling, and translation. Science translational medicine, 6(265), 265sr6-265sr6.
  9. Reinke, J. M., & Sorg, H. (2012). Wound repair and regeneration. European surgical research, 49(1), 35-43.
  10. Xue, M., & Jackson, C. J. (2015). Extracellular matrix reorganization during wound healing and its impact on abnormal scarring. Advances in wound care, 4(3), 119-136.
  11. Zhu, Z., Ding, J., & Tredget, E. E. (2016). The molecular basis of hypertrophic scars. Burns & trauma, 4(1), 2.
  12. Robles, D. T., & Berg, D. (2007). Abnormal wound healing: keloids. Clinics in dermatology, 25(1), 26-32.
  13. Pikula, M., Langa, P., Kosikowska, P., & Trzonkowski, P. (2015). Stem cells and growth factors in wound healing. Postepy higieny i medycyny doswiadczalnej (Online), 69, 874-885.
  14. Shirazian, S., Azghani, M., Ahmadi, H., & Mohammadi, Y. (2020). Potential applications of nanotechnology in the management of scars and skin ulcers: A comprehensive review. Journal of Drug Delivery Science and Technology, 56, 101506.
  15. Mostafalu, P., Tamayol, A., Rahimi, R., Ochoa, M., Khalilpour, A., Kiaee, G., … & Sonkusale, S. R. (2018). Smart bandage for monitoring and treatment of chronic wounds. Small, 14(33), 1703509.
  16. Yeh, F. L., Shen, H. D., Lin, M. W., Chang, C. Y., Tai, H. Y., & Huang, M. H. (2017). Keloid-derived fibroblasts have a diminished capacity to produce prostaglandin E2. Burns, 32(3), 299-304.
  17. Borsting, E., Kristensen, S. B., Thygesen, J., Kruse, T., & Andersen, M. O. (2020). Artificial intelligence and machine learning in plastic surgery: a systematic review. Journal of Plastic, Reconstructive & Aesthetic Surgery, 73(12), 2150-2164.

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *